วันศุกร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

Clip Video : Pamukkale & Hierapolis อุทธยานมรดกโลก


PAMUKKALE & HIERAPOLIS
ปราสาทปุยฝ้าย & เมืองโบราณเฮียราโฟลิส
เมืองมรดกโลก

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

Pamukkale & Hierapolis
ปราสาทปุยฝ้าย & เมืองเฮียราโฟลิส
อุทยานมรดกโลก



  ปามุกคาเล(Pamukkale) หรือปราสาทปุยฝ้าย ในภาษาตุรกี ปามุก แปลว่า ฝ้าย, คาเล แปลว่า ปราสาท เกิดจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติเมื่อหินปูนสีขาวสะอาดหรือแคลเซียมออกไซด์ถูกธารน้ำใต้ดินที่เป็นน้ำแร่ไหลเออล้นขึ้นมาบนผิวดิน และไหลรวมกันจนเป็นลานใหญ่ กว้างประมาณ 300 เมตร ยาวกว่า 3 กิโลเมตร ก่อนจะไหลตกลงจากหน้าผาสูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 100 เมตร 

  การไหลของน้ำแร่ที่ปามุกคาเลนี้ได้ไหลลดหลั่นลงมาเป็นชั้นๆ ราวกับน้ำตกที่ทำด้วยวิปครีม อันเกิดจากการตกตะกอนของหินปูนที่ทำปฏิกิริยากับอากาศ และจับตัวแข็งกลายเป็นแอ่งน้ำตื้นๆ มีน้ำล้นใสราวกับตาตั๊กแตน ในวันที่อากาศดีจะสะท้อนกับท้องฟ้าสีครามสดใสงามตายิ่งนัก ใครเห็นก็อยากลงไปนอนแช่ เพราะน้ำที่ขังอยู่ก็คือน้ำแร่อุ่นๆ นั่นเอง แถมบางแอ่งน้ำยังอยู่ในมุมสูง มองเห็นพื้นราบเบื้องล่างที่อยู่ต่ำลงไปลิบ...สุขอย่างบอกใครเชียวครับ

  ซึ่งความสุขแบบที่รู้สึกกันอย่างนี้แหละที่เป็นตัวฆ่าปามุกคาเล เพราะจำนวนนักท่องเที่ยวที่เฮโลไปใช้ไปหาความสุขกันอย่างไม่ปรานีต่อธรรมชาตินั้น นานวันเข้าหินปูนสีขาวราวกับปุยฝ้ายก็กลายเป็นสีเหลืองอ่อนๆ ไปจนถึงสีสนิม น้ำแร่ใสๆ ที่เคยเอ่อล้นพลันก็เหือดแห้ง จะมีออกมาบ้างก็เฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ผลิเท่านั้นที่แอ่งน้ำมีน้ำมากขึ้น ถ้ามาในช่วงฤดูร้อนจะพบว่าแอ่งน้ำเดี๋ยวนี้น้ำแห้งเกือบถาวรแล้ว ซึ่งคนที่เคยไปเห็นปามุกคาเลเมื่อราว 20 ปีที่แล้วแล้วติดใจ 


   ปีนี้ไปอีกเพื่อรำลึกถึงความหลัง มักผิดหวังไปตามๆ กัน และต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่น่ามารำลึกความหลังกันเลย สู้ปล่อยให้ปามุกคาเล่เป็นอดีตอันสวยงามอยู่ในความทรงจำเสียยังดีกว่า เพราะภาพปามุกคาเลปัจจุบันผิดจากปามุกคาเลในอดีตอย่างเทียบกันไม่ได้ ความทรงจำดีๆ และงดงามถูกทำลายไปสิ้นแล้ว 


  อย่างไรก็ดี ในบริเวณพื้นที่ที่ติดกับน้ำตกหินปูนปามุกคาเล ยังมีโบราณสถานแห่งหนึ่งที่พอจะช่วยเยียวยาความผิดหวังของคนที่โหยหาอดีตอันเรืองรองและไม่ชอบความเปลี่ยนแปลง

HIERAPOLIS


  เฮียราโปลิส(Hierapolis) เป็นโบราณสถานที่ว่าครับ สถานที่อันเต็มเปี่ยมไปด้วยอดีตแห่งนี้ก่อตั้งโดยกษัตริย์ยูเมเนสที่ 2 (Eumenes II) แห่งแพร์กามุม ชื่อนี้โด่งดังมากในสมัยโบราณประมาณศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาล สืบเนื่องมาจากพบว่าบริเวณนี้มีน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์ไหลอยู่ทั้งปีด้วยอุณหภูมิราว 33-35 องศาเซลเซียส ซึ่งคนสมัยก่อนเชื่อกันว่ามีสรรพคุณในการรักษาโรคได้สารพัด โดยเฉพาะโรคไขข้ออักเสบ จึงถูกใช้เป็นสถานที่บำบัดโรค ผู้คนเมื่อได้ยินกิตติศัพท์ว่าเป็นแหล่งรักษาโรคก็เดินทางมาใช้ จนต่อมาได้พัฒนาชุมชนเล็กๆ ให้กลายเป็นเมืองย่อมๆ ขึ้นมา นักประวัติศาสตร์ได้ทำการขุดและพบหลักฐานว่าที่นี่มีเมืองชื่อ ไฮเดรลา (Hydrela)


  ซึ่งถ้าแปลตามตัวอักษรก็หมายถึงเมืองแห่งสายน้ำ และสันนิษฐานกันว่าเมืองไฮเดรลานั้นที่แท้ก็คือเมืองเฮียราโปลิสนั่นเอง ส่วนชื่อของเมืองเฮียราโปลิส นักประวัติศาสตร์มีความเชื่อแตกออกเป็น 2 กระแส ทางหนึ่งเชื่อว่ามาจากชื่อของสตรีผู้หนึ่งที่มีบทบาทสูงในยุคนั้น ส่วนอีกกระแสเชื่อว่ามาจากรากศัพท์ที่แปลว่า เมืองศักดิ์สิทธิ์อันแสนสุข คือ Hiera และ Holy



  เนื่องจากเมืองเฮียราโปลิสในอดีตมีชื่อเสียงเรื่องความงามของหินอ่อน และได้รับอิทธิพลจากทั้งกรีกและโรมันโบราณที่ผลัดกันเข้ามาครอบครอง ซึ่งได้ทิ้งหลักฐานทางโบราณคดีไว้ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษามากมาย โดยเฉพาะวิหารและหลุมศพโบราณที่ทำด้วยหินล้วนๆ 

  ชาวโลกในอดีตใช้บริเวณนี้เป็นที่พักพิงติดต่อกันมานานเกือบ 1,500 ปีก็เสื่อมความนิยม เหตุเพราะได้เกิดแผ่นดินไหวหลายครั้งและการรุกรานของพวกเติร์ก จนหลังปี ค.ศ. 1334 ผู้คนอพยพหนีหายไปอยู่ที่อื่นกันหมด ไม่มีคนกล้าอาศัยอยู่ที่นี่อีก บ้านเรือนในยุคนั้นจึงเหลือเป็นเพียงซากปรักหักพังอยู่เกลื่อนทุ่งไปทั่ว ทั้งกำแพงเมือง โรงอาบน้ำโรมัน วิหารอะพอลโล โรงละคร และซากหลุมศพ รวมทั้งโบสถ์สมัยไบเซนไทน์ 


  การมาเที่ยวชมปามุกคาเลและเมืองโบราณเฮียราโปลิสจึงควรให้เวลานานสักหน่อย เพราะทั้งสองแห่งมีความสวยงามทางธรรมชาติและคุณค่าทางสถาปัตยกรรมที่หาชมได้ยากในภูมิภาคอื่นของโลก และคงด้วยความคิดเช่นนี้กระมังที่ทำให้กลายเป็นสถานที่ยอดนิยมของนักท่องเที่ยวทั่วโลกจำนวนมากไปในที่สุด อันเป็นผลให้มีนักลงทุนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ขอสัมปทานจากรัฐบาลตุรกี สร้างรีสอร์ตและสปาให้อยู่ใกล้กับปามุกคาเลและซากโบราณสถานมากที่สุด นัยว่าเพื่ออำนวยความสะดวกสบายแบบสุดๆ ให้กับนักท่องเที่ยวกระเป๋าหนักทั้งหลาย 

  โรงแรมที่ว่านี้ชื่อ “โรงแรมปามุกคาเล” ไฮไลต์ของโรงแรมฯ คือการนำบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ในอดีตมาดัดแปลงเป็นสระว่ายน้ำที่เป็นน้ำแร่ธรรมชาติกลางแจ้งขนาดใหญ่ ใต้น้ำใสปิ๊งยังคงทิ้งเสาโรมันของแท้ที่หักพังระเกะระกะไว้ให้ตื่นตาตื่นใจเล่น ยามจินตนาการว่ากำลังว่ายน้ำอยู่ในยุคก่อนคริสตกาล หรือย้อนหลังไปเป็นพันๆ ปี 


  นอกจากจะมีโรงแรมบนยอดปามุกคาเลแล้ว ยังมีการลงทุนสร้างรีสอร์ตและสปาผุดขึ้นอีกมากมายรอบๆ เชิงเขาบริเวณใกล้กับฐานของปามุกคาเล แต่ละรีสอร์ตและสปาต่างก็พยายามสูบสายน้ำแร่เข้าไปใช้ในรีสอร์ตโดยตรงเพื่อให้แขกที่เข้าพักประทับใจ แต่ผลที่ตามมาคือ ธารน้ำแร่ที่มีอยู่อย่างจำกัดได้เหือดแห้งไปในบางช่วงเวลา ประกอบกับไม่มีการจำกัดเขตให้นักท่องเที่ยวเดินชมแอ่งน้ำที่เป็นหินปูนสีขาวบริสุทธิ์ ทำให้เกิดความสกปรกที่มาพร้อมกับจำนวนคนมากมายจนเกินความสามารถของธรรมชาติที่จะรองรับได้ เนื่องมาจากความเชื่อในเรื่องของการรักษาโรคแท้ๆ


  ทำให้นักท่องเที่ยวบางคนตั้งใจไปถอดรองเท้าเดินย่ำน้ำ บางคนถึงกับถอดเสื้อผ้าลงไปนอนแช่ในน้ำแร่อุ่นๆ อย่างสบายใจ เมื่อทำแบบนี้มากๆ เข้าก็ทำให้แอ่งน้ำหินปูนที่เคยเป็นสีฟ้าใสแจ๋วเหือดแห้งลง และมีคราบของความสกปรกเป็นตะไคร่จับตามพื้นและขอบบ่อ บางแห่งกลายจากสีขาวเป็นสีสนิม เพราะเกิดจากคราบไคลของไขมันในร่างกายของนักท่องเที่ยวนั่นเอง 

  เหตุการณ์อันน่าตระหนกนี้ทำให้รัฐบาลตุรกีและองค์กรยูเนสโกได้เข้ามาจัดระเบียบการทำธุรกิจท่องเที่ยวบริเวณนี้เสียใหม่ก่อนที่ความอัศจรรย์ทางธรรมชาติและโบราณสถานจะพังพินาศไป รัฐบาลตุรกีสั่งปิดถนนเส้นที่ตัดขึ้นไปส่งนักท่องเที่ยวจนเกือบจะชิดกับแอ่งน้ำเลยทีเดียว และห้ามรถบัสใหญ่จอดใกล้กับแหล่งท่องเที่ยวด้วย
  

  ถ้านักท่องเที่ยวต้องการเข้าไปชมต้องใช้วิธีเดินเข้าไปอย่างเดียวด้วยระยะทางราว 1,500 เมตรบนเส้นทางที่กำหนด และสั่งย้ายโรงแรมปามุกคาเลออกไปจากพื้นที่ทันที ซึ่งกว่ารัฐบาลตุรกีจะจัดการย้ายโรงแรมเจ้าปัญหานี้ออกไปได้ก็ใช้เวลานานหลายปีทีเดียว เพราะติดในแง่ของกฎหมายการลงทุนของเอกชน และมาตรการสุดท้ายคือการกำหนดเขตให้นักท่องเที่ยวเดินลุยน้ำแร่อุ่นๆ เล่นในแอ่งหินปูนอย่างมีขอบเขตแน่นอน ไม่ปล่อยเสรีเหมือนเช่นในอดีตอีกต่อไป พร้อมกับมีเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยสอดส่องกวดขันนักท่องเที่ยวที่ชอบฝ่าฝืน ซึ่งก็ยังมีให้เห็นเป็นพักๆ ทั้งๆ ที่มีประกาศขอความร่วมมือเอาไว้ชัดเจนแล้วก็ตาม 

  ทั้งหมดนี้ก็เพื่อช่วยให้ลมหายใจของปราสาทปุยฝ้ายได้มีชีวิตต่อ และค่อยๆ ฟื้นเอาความสวยงามดังเดิมกลับคืนมาอีกครั้ง ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาร่วม 100 ปีทีเดียว

Credit :
http://en.wikipedia.org/wiki/Pamukkale
http://glifr.com/th/heritage/hierapolis-pamukkale/814
http://www.gourmetthai.com/newsite/travel/travel_detail.php?content_code=CONT649
http://www.youtube.com/watch?v=9uqFUc_K5wk by tinasor

MONDERN and POST-MODERN

Post-Modern



     หลังทศวรรษที่ 1960 เรื่อยมา เป็นช่วงเวลาแห่งการเริ่มก่อร่างกระแสความคิดแบบยุคหลังสมัยใหม่ (Post-modern) ที่ยังไม่ชัดเจนนัก หากแต่เป็นกระแสที่เน้นการวิพากษ์และตั้งคำถามต่อแนวคิดภาวะทันสมัยที่ยังคงเป็นกระแสหลักของการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง แต่กระนั้นก็มีแนวคิดอื่นๆ เกิดขึ้นมาในช่วงนี้ อาทิ แนวคิดทฤษฎีระบบโลก World System Theory ที่ให้ความสนใจกับระบบและความสัมพันธ์ในการพึ่งพาอาศัยกันและกัน (Interdependency) ในช่วงยุคนี้จะมีการเกิดองค์กรระหว่างประเทศขึ้นมากมาย เกิด Good governance รวมไปถึงแนวคิดปรากฏการณ์นิยม ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงยุคได้รับอิทธิพลจากแนวคิดวิทยาศาสตร์ของไอสไตน์ในเรื่องสัมพันธภาพนิยม (Relativitism) 

     อิทธิพลของแนวคิดดังกล่าวข้างต้นได้มีส่วนในการก่อเกิดแนวคิดใหม่ๆ หรือที่เรียกกว่า กระแสแนวคิดยุคหลังสมัยใหม่ที่วิพากษ์ถึงกระบวนทัศน์ "การพัฒนา" ว่าได้ก้าวสู่จุดจบของ "สังคมสมัยใหม่" (modern sociality) หรือมองว่า "สังคมอุดมคติ" (utopia) ของกลุ่มสังคมนิยมเป็นเรื่องที่ไม่เป็นจริง แต่ถึงกระนั้นแนวคิดหลังยุคสมัยใหม่ก็ได้กล่าวถึงเรื่องของการพัฒนาว่า ผลของความเป็นสมัยใหม่จาก "การพัฒนา" ได้สร้างสถาบันทั้งหลายที่เกี่ยวกับระเบียบวินัยขึ้นมา ปฏิบัติการต่างๆ และวาทกรรมหลายหลากที่ทำให้วิธีการต่างๆ ของมันในการครอบงำและบังคับควบคุมเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่สำหรับนักหลังสมัยใหม่มันคืออำนาจและมายา แต่กระนั้นกระแสแนวคิดใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นมิใช่เพียงวิพากษ์สังคมยุคทันสมัยนิยมเท่านั้น หากแต่ยังสนใจต่อสังคมยุคที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนา รวมถึงสังคมในปัจจุบัน ที่อาจเรียกรวมว่า "สังคมหลังยุคทันสมัย" หรือ "สังคมหลังยุคสมัยใหม่" 

     อย่างไรก็ตาม เนื่องจากกระแสความสนใจต่อการศึกษาแนวคิดหลังสมัยใหม่นั้นมีมาก และมักจะตีความหรือเข้าใจว่าแนวคิดดังกล่าวหลากหลายจนไร้จุดยืน งานเขียนชิ้นนี้จึงพยายามประมวลความคิดที่เกี่ยวข้อง เพื่อช่วยให้ผู้สนใจได้มองหลังสมัยใหม่อย่างรอบด้านยิ่งขึ้น โดยงานเขียนนี้ได้เสนอว่า กระบวนทัศน์หลังสมัยใหม่นั้น มองสังคม คนอย่างไร? ใครคือผู้นำทางความคิด และหลักการหรือแนวคิดสำคัญๆ ที่มีอิทธิพลต่อวงการแนวคิดหลังสมัยใหม่ตัวอย่างใดบ้าง เพื่อเป็นแนวทางการทำความเข้าใจในเรื่องเหล่านี้ต่อๆ ไป

Modern และ Post-Modern

Post-Modern  คือแนวความคิดที่มาหลังจากยุค Modern ซึ่งเป็นช่วงหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรม ที่อะไรต่างๆถูกกำหนดอยู่ในหลักเกณฑ์และทฤษฏี แต่ยุค Post-Modern เป็นยุคที่ปฏิเสธสิ่งเดิมๆในยุคmodern โดยเน้นเสรีภาพและอิสระของบุคคล ไม่เชื่อในโลกของความจริง ไม่เชื่อเรื่องความเป็นสากล เพราะเชื่อว่าแต่ละคนแต่ละวัฒนธรรมนั้นมีเหตุผลของตัวเอง ไม่ควรจะให้ใครมาตัดสินว่าอันไหนสิ่งใดดีที่สุด แล้วคิดว่าสิ่งนั้นต้องดีสำหรับคนอื่นด้วย ดังนั้นจึงไม่คิดว่าสังคมที่คิดว่าเป็นสากลนั้นไม่มีจริง

Post-Modern เป็นยุคหลัง Modern จึงทำให้เกิดการถวิลหา คลาสิค เป็นยุคที่นำเอา ความแข็งกร้าว ตรงไปตรงมา สัจจะแห่งเนื้อแท้ มารวมกับ ความนุ่มนวล อ่อนช้อย ลวดลายมากมาย การปกปิดสัจจะแห่งเนื้อแท้มาก+น้อย = Post-Modern ง่ายๆ เอาตำรา The Seven Lamp for Architecture (เป็นตำราทางสถาปัตยกรรมเล่มแรกของโลก) รวมกับ Theory ของ บาวเฮ้าส์ มารวมกันก็ได้ Post-Modern

Post-Modern เป็นรูปแบบที่เกิดขึ้นในปลายยุคทศวรรษที่ 80 นำโดยกลุ่มนักออกแบบที่มีชื่อเสียงมากมาย เช่น Michael Graves, Philippe Starck เป็นต้น คำว่า Post-Modern มาจากคำว่า Post ซึ่ง แปลว่าหลังและ Modern ก็หมายถึงยุค Modernนั่นเอง ความหมายรวมของPost-Modern หมายถึง รูปแบบงานออกแบบในยุคหลังจาก Modern นั่นเอง

หลักการโดยทั่วไปของ Post-Modern คือการสร้างรูปแบบงานออกแบบใหม่ที่ไม่ใช่ทั้ง Modern และ รูปแบบ Classic แต่กลับเป็นการสร้างลูกผสมระหว่างทั้งสองรูปแบบขึ้นมาดังจะ เห็นได้จากผลงานส่วนใหญ่ของรูปแบบนี้จะมีการสร้างชิ้นงานแบบ Modern ที่เรียบง่าย และมีรูปทรงที่โดดเด่น เตะตา แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีการอ้างอิงถึงรายละเอียด หรือกลิ่นอายของงาน Classic ไปด้วยในตัว

ในบางครั้งงาน Post-Modern ก็จะไปเน้นที่การเล่นเรื่อง Space กล่าวคือ Space ของงาน Classic มักจะเน้นที่ ความหรูหรา ใหญ่โตและอลังการ ในขณะที่รูปแบบ Modern จะเน้นที่ความเรียบง่าย และการสร้างความรู้สึกที่สัมผัสได้ ในทันทีที่เข้าไปพบ หรือสัมผัสแต่รูปแบบ Post-Modern มักจะเน้นที่ การสร้างความรู้สึกคล้ายใช่ และ คล้ายไม่ใช่ โดยมักจะสร้าง Space ที่ให้ความรู้สึกที่เปลี่ยนไป ในแต่ละ ก้าวย่าง ที่เข้าไปสัมผัส

รูปแบบ Post-Modern ก็มักจะมีการใช้สีสรรที่สดใส หรือวัสดุที่แปลกใหม่ ตลอดจนรูปทรงที่แปลกตา เข้ามาใช้ในงานด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะอาคาร สถาปัตยกรรม ทำให้เรามักจะได้เห็น อาคารรูปทรงแปลกประหลาด หรือมีสีสรร สดใสตัดกับอาคารสี่เหลี่ยมทึบตันรอบข้าง โผล่มาอย่าง น่าประทับใจ

ความแปลกใหม่และลูกเล่นที่สร้างสรรค์ต่างๆ เหล่านี้ ได้สร้างให้งาน Post-Modern ขึ้นสู่จุดสูงสุดอย่างรวดเร็วและด้วยเทคโนโลยีการสื่อสาร ที่ทันสมัย ยิ่งทำให้งานออกแบบนี้แพร่กระจายไปทั่วโลก Post-Modern กลายเป็นรูปแบบใหม่ ่ที่นักออกแบบทั่วโลกให้ความสนใจ และยินดีที่จะสร้างสรรค์ผลงานในรูปแบบนี้ ภายหลังจากที่ ต้องเก็บกดอยู่นานกับความเรียบง่าย วัสดุที่จำกัด และรูปทรงเรขาคณิต ของงาน Modern



-  www.artgazine.com/shoutouts/viewtopic.php?t=2444
-  http://www.ablaze-db.com/webboard/index.php?topic=52.0