วันศุกร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2554

ABU SIMBEL TEMPLE อลังกาลวิหารอาบูซิมเบล

Abu Simbel Temple


ประวัติ : Giovanni Battista Belzoni

Giovanni Battista Belzoni

จิโอวานนี่ แบตติสต้า เบลโซนี่
เกิดวันที่ 18 พ.ย. 2321
ที่เมืองปาดัว ประเทศอิตาลี
ผู้รู้ด้านโบราณวัตถุอียิปต์
ผู้ค้นพบทางเข้าวิหาร Abu Simbel
Abu Simbel




          วิหารอาบูซิมเบล ( Abu Simbel Temple ) เป็นผลงานของฟาโรห์รามเสสที่ 2 ( Ramesess II ) ในราชวงศ์ที่ 19 มีอายุนับถึงปัจจุบันกว่า 3,299 ปี ( 1290-1224 B.C. ) ตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลสาบนาสเซอร์ทางตอนใต้สุดของประเทศ ติดชายแดนประเทศซูดาน
          ทางใต้ของประเทศชาวอียิปต์เรียกว่า Upper Egypt สาเหตุก็เพราะว่ามีพื้นที่ภูมิประเทศสูงกว่าทางด้านเหนือและเป็นแหล่งกำเนิดแม่น้ำไนล์ สายน้ำมหัศจรรย์ที่มีต้นน้ำมาจากประเทศตอนกลางของทวีปแอฟริกามาบรรจบกันที่ประเทศซูดาน ก่อนไหลผ่านประเทศอียิปต์เป็นประเทศอกแตกตั้งแต่ทางด้านใต้ไปจรดเหนือสุดลงสู้ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน บริเวณทิศเหนือหรือตอนบนเป็นที่ราบลุ่มมีพื้นที่ต่ำกว่า ชาวอียิปต์จึงเรียกบริเวณนี้ว่า Upper Egypt
 
          ทางเข้าสู่วิหารอาบูซิมเบลปูด้วยอิฐบล็อกเป็นระเบียบ เส้นทางเลียบทะเลสาบ และมีท่าเรือเทียบหน้าวิหารพอดี เป็นสถาปัตยกรรมของฟาโรห์ผู้ยิ่งใหญ่หลังจากเว้นว่างจากศึกสงครามปกป้องประเทศแล้ว การสร้างเทวสถานเพื่อสักการะและบูชาเทพเจ้าให้มากที่สุด และสร้างสุสานให้กับตัวเองไปพร้อม ๆ กันด้วย และดูเหมือนว่าฟาโรห์รามเสสที่ 2 ( Ramesess II ) ทรงมีปรีชาสามารถทั้งการรบและสร้างเทวสถานทำนุบำรุงมากกว่าฟาโรห์องค์ใด ๆ พระองค์จึงทรงได้รับการขนานนามต่อท้ายว่า “มหาราช ”
 
          รามเสสที่ 2 มีเหตุผลในการสร้างเทวสถานขึ้นบริเวณนี้ เพราะพระองค์ต้องการแสดงอำนาจเหนือ อาณาจักรคูช ( Kush ) ของชาวนูเบียน ซึ่งมีอิทธิพลมากทางอียิปต์ตอนบน Upper Egypt และต้องการให้ผู้คนได้เห็นว่า พระองค์มีบารมีเพราะได้รับการปกป้องจากสุริยเทพที่ผู้คนกราบไหว้ วิหารแห่งนี้จึงสร้างถวายแด่เทพเจ้ารา-ฮอรัคตี้ ( Ra-Jprakhty ) ดังรูปแกะสลักเหนือทางเข้าวิหารแห่งรามเสส และอีกประการเพื่อแสดงความรักต่อองค์มเหสีผู้เป็นราชินี จึงได้สร้างวิหารอีกหลังแก่พระนางเนฟเฟอร์ตารี ( Nefertari ) เพื่อถวายสักการะแด่เทวีฮาเธอร์ ( Hathor ) พระมารดาแห่งจักรวาลอันเป็นสุริยเทวี
          แต่เทวสถานแห่งนี้ได้ถูกโยกย้ายมาประกอบขึ้นใหม่ และโดยเฉพาะภูเขาทั้งสองลูกที่สร้างครอบเทวสถานทั้งสองหลังนี้คือภูเขาเทียม แต่ความยิ่งใหญ่กลับสร้างความตื่นตา และกลับยิ่งทึ่งในความสามารถของมนุษย์ที่สามารถแก้ปัญหาอันยิ่งใหญ่ได้ในเวลาอันรวดเร็วแก่เทวสถานแห่งนี้
เดิมทีวิหารแห่งนี้จมอยู่ในโคลนตมและทรายนานหลายศตวรรษ ถูกค้นพบโดยบังเอิญโดยชาวสวิส ชื่อ Johann Ludwig Burckhardt

 

          Giovanni Battista Belzoni ชาวอิตาเลียนมาสำรวจจนพบทางเข้าในปีค.ศ. 1817 และได้มีการนำทรายในวิหารออกจนหมด ปีค.ศ. 1960 องค์การยูเนสโก ( Unesco ) ได้เข้ามาช่วยเหลือ รวมถึงประเทศต่างๆ ด้วย เพื่อกู้เทวสถานและโบราณวัตถุบริเวณใกล้ทะเลสาบนาสเซอร์ที่มีถึง 10 แห่ง หนีน้ำจากการสร้างเขื่อนอัสวานแห่งใหม่ ( Hight Dam ) ถ้าไม่รีบย้ายหนีรับรองเราคงต้องได้ชมวิหารแห่งนี้ใต้น้ำอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงมีเสียงตอบรับช่วยเหลือด้านเงินมากจาก 51 ประเทศ และดำเนินการกู้เทวสถานอาบูซิมเบลโดยทีมงานจากนักโบราณคดีประเทศต่าง ๆ มีอียิปต์ อิตาลี สวีเดน เยอรมนี และฝรั่งเศส โดยเริ่มทันทีเมื่อปีค.ศ. 1964
          ตัววิหารอาบูซิมเบลและรูปสลักลอยตัวของฟาโรห์รามเสสที่ 2 อันใหญ่โตมหึมาถูกตัดออกเป็นชิ้น เหมือนกำแพงหนา ๆ โดยเฉพาะชิ้นส่วนบริเวณในหน้าของรูปสลักจะถูกเลื่อยมาทั้งใบหน้า โดยมีเดือยทางแผ่นหลังของใบหน้ายื่นออกเพื่อสอดเข้ากับชิ้นส่วนช่วงหัวอีกที
          ชิ้นส่วนต่าง ๆ มีมากกว่า 2,000 ชิ้น น้ำหนักของชิ้นส่วนแต่ละชิ้นเฉลี่ยประมาณ 10-40 ตัน ทุกชิ้นถูกกำกับด้วยหมายเลขเพื่อการประกอบที่ถูกต้อง หลังจากนั้นจึงได้ขนย้ายชิ้นส่วนดังกล่าวมาก่อสร้างขึ้นใหม่บริเวณที่อยู่ในปัจจุบัน

The 'Young Memnon', Rameses II, at the British Museum.

 
แผ่นที่ อาบูซิมเบล
         
          การเริ่มสร้างประกอบขึ้นใหม่เริ่มจากการสร้างวิหารและวางรูปสลักรามเสสที่ 2 ให้เสร็จสิ้นก่อน แล้วค่อยสร้างภูเขาเทียมครอบทับทีหลังในลักษณะเป็นโดม ( Dome ) ตัววิหารทั้งสองหลังหันหน้าออกไปทางทะเลสอบนาสเซอร์ อยู่ห่างจากพื้นที่เดิมประมาณ 210 เมตร และบริเวณนี้มีความสูงกว่าพื้นที่เดิมกว่า 65 เมตร ทุกอย่างทางทีมงานนักโบราณคดีพยายามให้อยู่ในสภาพเดิมมากที่สุด เพื่อความยิ่งใหญ่ของโบราณสถานแห่งนี้ และโครงการนี้ก็เสร็จสมบูรณ์เปิดให้เข้าชมอีกครั้งใน ค.ศ. 1968 รวมเวลาการกู้และบูรณะยาวนานถึง 4 ปี เสียค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น ประมาณ 40 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
 
          มหาวิหารแห่งฟาโรห์รามเสสที่ 2 เดิมก่อสร้างโดยเจาะภูเขาหินทรายลึกเข้าไป ด้านหน้ามีขนาดความกว้าง 35 เมตร เหมือนหน้าผา สูง 30 เมตรมีรูปสลักประทับนั่งของฟาโรห์รามเสสที่ 2 เองถึง 4 รูปเพื่อเฝ้าด้านหน้าวิหารแห่งนี้ มีความสูงถึง 20 เมตร รูปสลัก 2 องค์ จากซ้ายส่วนหัวแตกหักหล่นลงอยู่เบื้องล่าง และรูปสลักฟาโรห์ทั้ง 4 จะปรากฏรูปสลักเล็ก ๆ เป็นผู้หญิงยืนระหว่างขาของรูปคือ รูปสลักของพระมารดา มเหสี โอรสและธิดาของฟาโรห์ อันมีความหมายว่า พระองค์คือผู้ปกป้องนั่นเอง
          มีวิธีสังเกตดังนี้ เช่น รูปของฟาโรห์รามเสสที่ 2 จะมีชื่อของท่านแกะสลักร่องลึกอยู่ที่ต้นแขน ช่องที่แกะชื่อด้วยอักษรอียิปต์โบราณ (Hieroglyphic) นั้น เขาเรียกว่าคาร์ทูช (Cartouche) ตัวคาร์ทูชนี่แหละคือตัวบ่งบอกอธิบายหลักฐานต่าง ๆ ในอียิปต์ให้เราเข้าใจ
          ด้านบนสุดด้านหน้าวิหารจะถูกประดับด้วยรูปสลักลิงนั่งเรียงเป็นแถวยาวตามความยาวของหน้าวิหารนับได้ 22 ตัว ตัวเลข 22 ดังกล่าวนี้ หมายถึง ช่วงเวลาของแต่ละวันมันจะหมุนไปตลอดเวลา เปรียบเหมือนอากัปกริยาของลิง อันหมายถึงใน 1 วันมีแค่ 24 ชั่วโมง ฟาโรห์รามเสสคงสร้างไว้เป็นคติสอนใจพวกที่ไม่รู้คุณค่าของเวลา 
 
          แต่หนังสือบางเล่มเขียนว่ามีลิง 23 ตัวด้วย ลิงบาบูนจะเป็นสัญลักษณ์ของการสักการบูชาและการทำความเคารพดวงอาทิตย์ เนื่องจากแสงอาทิตย์แรกจะส่องไปยังลิงพวกนี้ก่อน แล้วค่อยเลื่อนลงมาจับรูปปั้นทั้ง 4 ของ Ramses II ซึ่งน่าจะเกี่ยวกับการแสดงความเคารพต่อดวงอาทิตย์นอกเหนือจากการบ่งบอกช่วงเวลา
          เหนือประตูทางเข้าวิหารคือ รูปสลักเทพเจ้ารา –ฮอรัคตี้ ประทับยืนโผล่ออกมาจากช่องเหนือประตูหน้าวิหาร ด้านข้างคือภาพแกะสลักร่องลึกรูปของฟาโรห์รามเสสที่ 2 ทั้งสองด้านกำลังบูชา โดยในมือยื่นถวายเทวีมาอัต ( Maat ) แด่เทพเจ้ารา – ฮอรัคตี้
          ห้องโถงแรกภายในวิหารเรียกว่า ( Great Pillared Hall) จุดเด่นอยู่ที่เสาทั้ง 8 ต้นถูกประดับด้วยรูปสลักของรามเสสที่ 2 เองโดยทรงเครื่องแบบเทพโอซิริส ช่วยยืนค้ำภายในวิหาร เป็นสไตล์คล้ายศิลปะกรีก ที่นิยมนำรูปปั้นคนมาตกแต่งหัวเสา แต่เป็นภายนอกอาคาร
 
          ผนังภายในวิหารถูกแกะสลักร่องลึกลงสีรูปเรื่องราวต่าง ๆ พร้อมคาร์ทูชอธิบายเหตุการณ์มากมาย ภาพส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับภารกิจด้านสงครามของรามเสสที่ 2 เป็นภาพที่สำคัญยิ่งที่พระองค์ได้รับชัยชนะราวปาฏิหาริย์ เพราะพระองค์ได้รับพรและความช่วยเหลือจากเทพเจ้าอะมอนรา คือครั้งการสู้รบกับพวกฮิตไทต์ (Hittites) ที่เมืองคาเดช ( Kadesh ) ในปี 1300 B.C.
          ตามประวัติศาสตร์อ้างว่ารามเสสที่ 2 สามารถสนองความประสงค์ของผู้เป็นพ่อคือฟาโรห์ เซติที่ 1 ( Seti I ) ที่ทรงต้องการปราบพวกฮิตไทต์เป็นหนักหนา แต่ชัยชนะที่รามเสสที่ 2 ได้รับก็ไม่ใช่ชัยชนะที่ยั่งยืนหรือถาวรเพราะกองทัพฮิตไทต์ฉลาดในการรบยิ่ง รามเสสที่ 2 จึงใช้วิธีทำสัญญาสงบศึกจนมีความสัมพันธ์แนบแน่นเมื่อพระองค์ได้เจ้าหญิงแห่งฮิตไทต์มาเป็นพระสนมถึง 2 องค์ เลยเพิ่มสถิติจำนวนมเหสีและนางสนมทั้งสิ้น รวม 60 พระองค์แก่รามเสสที่ 2 ส่วนโอรสและธิดานั้นนับร้อย แถมพระองค์ยังอายุยืนอีกต่างหากถึง 92 พรรษา
          ในที่สุดก็มาถึงห้องที่สำคัญที่สุดซะที ห้องสำคัญที่ว่าคือ ห้องขนาดเล็กอยู่ลึกสุดภายในวิหารก่อนผ่านพิลลาร์ฮออล์ ( Pillared Hall) ขนาดเล็กไป ห้องนี้ลึกถึง 47 เมตร จากปากทางเข้า ตรงกลางห้องมีแท่นบูชาสำหรับวางเรือศักดิ์สิทธิ์ของเทพอะมอนรา (Sacred Braque)
 
          ติดผนังด้านหลังสุดของห้องเล็ก ๆ นี้มีรูปสลักลอยตัว 4 รูปประทับนั่งอยู่ มองเข้าไปนับจากด้านขวามือของเราเองคือเทพ รา-ฮอรัคตี้ (มีแผ่นสุริยวงกลมบนศีรษะ) ถัดมาคือ ฟาโรห์รามเสสที่ 2 รูปที่ 3 คือเทพอะมอนราและเทพพทาห์องค์ซ้ายสุด มือสองข้างกุมคฑา ภาพฝาผนังด้านข้างเป็นภาพการบูชาเทพอะมอนราพร้อมรูปเรือโซลาร์โบ๊ต ที่เทพเจ้าใช้เป็นพาหนะเดินทางท่องจักรวาล
          เทพเจ้าทั้ง 3 รูปล้วนมีความสำคัญยิ่งในดินแดนไอยคุปต์ ฟาโรห์รามเสสที่ 2 จึงอัญเชิญมาประทับรวม ณ วิหารแห่งนี้ เทพรา-ฮอรัคตี้เป็นสุริยเทพแห่งเมืองเฮลิโอโปลิสที่เคยเป็นเมืองหลวง เทพพทาห์เป็นเทพประจำเมืองเมมฟิสอดีตเมืองหลวงเช่นกัน และเทพอะมอนรา เทพประจำเมืองหลวงธีบส์ในสมัยรามเสสที่ 2 เอง
          ภายในห้องนี้ยังมีปรากฏการณ์สำคัญอีกอย่างด้วย แต่เป็นที่น่าแปลกใจตรงที่เหตุการณ์นี้ได้เกิดขึ้นก่อนที่จะย้ายวิหารมายังที่ปัจจุบันเสียอีก แต่เมื่อย้ายมาอยู่ที่นี้ก็ยังเกิดปรากฏการเช่นเดิมอีก เพียงแต่วันที่จะปรากฏการณ์เปลี่ยนไปเท่านั้นคือ ทุก ๆ ปีในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ และ 22 ตุลาคม เพียง 2 ครั้งใน 1 ปี จะมีลำแสงของดวงอาทิตย์ตั้งแต่เช้าตรู่จากทางตะวันออก พุ่งกระทบแผ่นน้ำในทะเลสาบ มาทะลุผ่านวิหารลอดเข้าสู่ภายในห้องบูชาแห่งนี้
 
          เรื่องวันที่เกิดปรากฏการณ์แบ่งเป็น 2 ชุดใหญ่ๆ คือ วันที่แสงส่องก่อนย้ายวิหาร กับวันที่แสงส่องหลังย้ายวิหารไปแล้ว โดยรวมสรุปได้ประมาณนี้
          ก่อนย้ายแสงจะส่องเข้าวันที่  21 มีนาคม และ 21 กันยายน หลังย้ายแสงจะส่องเข้าวิหารมี 3 ข้อมูล คือ 20 กุมภาพันธ์ และ 20 ตุลาคม,  21 กุมภาพันธ์ และ 21 ตุลาคม, 22 กุมภาพันธ์ และ 22 ตุลาคม วันที่ยืนยันว่าเกิดปรากฏการณ์นี้ค่อนข้างยืนยันว่าเป็นวันที่ 22 มากกว่าวันอื่นๆ

         
           ลำแสงจะไปจับอยู่ที่เทพรา-ฮอรัคตี้ ก่อนแล้วค่อยเคลื่อนไปที่รูปของฟาโรห์รามเสสที่ 2 สักพักก็เลื่อนไปฉายที่รูปเทพอะมอนรา ก่อนฉายกลับมาทางเดิมโดยที่ไม่ฉายไปที่เทพพทาห์เลย เหตุผลคือ เทพพทาห์ เป็นเทพที่สถิตอยู่ในความมืดมิดนั่นเอง นับว่าเป็นสิ่งที่น่าเหลือเชื่อจริง ๆ นั้นคือเหตุผลที่ทำให้เรายอมรับการคำนวณของคนในสมัยโบราณ
          เพิ่มเติมเรื่องเทพพทาห์ (Ptah) คือเทพประจำนคร Memphis ดูแลงานช่าง งานฝีมือ อาจจะเกี่ยวกับโลกใต้บาดาล และคนตายบ้าง แต่ว่าไม่มีเหตุผลที่เทพพทาห์จะต้องอยู่ในความมืด จึงเกิดข้อสงสัยว่าทำไมเทพพทาห์ถึงต้อง “ไม่โดนแสง" เพราะยังไม่มีหลักฐานจากตำนานไหนที่บอกว่า "เทพพทาห์คือเทพที่สถิตอยู่ในความมืดมิด" เหตุผล “การไม่โดนแสง” จึงน่าจะเป็นการอธิบายจากคนรุ่นใหม่มากกว่าเป็นความตั้งใจของคนยุคโบราณที่จะสร้างวิหารออกมาเช่นนั้น
          เทพ Amun ที่แปลว่า "ซ่อนเร้น" ยังเหมาะและดูสมเหตุสมผลกว่า ในการ “ไม่ให้แสงส่องมาถึง” เนื่องจากพระองค์เป็น "ผู้ซ่อนเร้น" ดังนั้นจึงไม่มีแสงสว่างส่องมาถึงพระองค์
          เพราะหากคิดในแง่การคำนวณแสงจริงๆ เมื่อมีการย้ายวิหารมาที่ใหม่ก็ไม่น่าจะเกิดปรากฏเฉพาะตามที่คนโบราณตั้งใจไว้ แต่น่าจะเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญโดยมีเงื่อนไขว่าวิหารต้องหันไปทางทิศตะวันออกเท่านั้น (เสนอประเด็นไปท้าต่อยกับการท่องเที่ยวอียิปต์แล้ว ไม่มีปรากฏการณ์เรียกความสนใจ มันจะเรียกเงินจากนักท่องเที่ยวได้ไง เขาก็ต้องคิดเรื่องมาอธิบายสิ)
 
          แต่เดิมภายใน Abu Simbel เคยทาสีไว้ทั้งหมด ภาพที่ David Roberts วาดมาก็มีสีเหมือนกันเป็นไปได้ว่าเดิมรูปปั้นทั้ง 4 นี้ก็มีสีเป็นปกติ แต่ว่าสีเริ่มหลุดร่อนมาเรื่อยๆ เพราะสภาพอากาศและความชื้นจากนักท่องเที่ยวรวมทั้งตอนขนย้ายวิหาร ทำให้สภาพในตอนนี้สีได้หลุดลอกไปจนหมด
          สถานที่สุดท้ายที่จะกล่าวถึง เป็นวิหารแห่งฟาโรห์รามเสสมหาราชคือ วิหารแห่งพระนางเนฟเฟอร์ตารี หรืออาจเคยได้ยินชื่อเรียกที่ว่า ( Temple of Hathor, Temple of Love, Nefertari Temple) สร้างถวายแด่เทวีฮาเธอร์
          ด้านหน้าวิหารมีรูปสลักลอยตัวสูงประมาณ 10 เมตร เป็นรูปของฟาโรห์รามเสสที่ 2 ขนาบสลับกันกับรูปพระนางเนฟเฟอร์ตารีซึ่งสวมมงกุฎราชินีทั้ง 2 รูป ส่วนรูปสุดท้ายขวามือเราก็เป็นรูปของรามเสสที่ 2 เอง ทรงสวมหมวดแบบฟาโรห์พร้อมมงกุฎหางนกมีแผ่นโซลาร์ดิสก์ มีความหมายถึงพระองค์เทียบเท่าสุริยเทพ และรูปสลักของรามเสสอีก 3 รูป ทรงสวมหมวกทรงปาปิรัสและดอกบัวตูม มีความหมายถึงการขึ้นครองสองอาณาจักรทั้งอียิปต์ล่างและอียิปต์บน
 
          ส่วนรูปปั้นองค์เล็กในแต่ละช่วงของระหว่างขาของฟาโรห์รามเสสที่ 2 และพระนางเนฟเฟอร์ตารี คือ โอรสและธิดาในพระองค์ บ่งบอกความหมายว่า พระองค์ทั้งสองคือผู้ปกครอง
          ภายในวิหารด้านหลังกำแพงทางเข้าเป็นภาพการต่อสู้ที่สำคัญยิ่ง ณ ที่แห่งนี้ของฟาโรห์รามเสสที่ 2 ที่มีชัยชนะเหนือชาวนูเบียน และที่สำคัญคือ ภาพเทพอะมอนราคอยช่วยเหลือโดยยื่นอาวุธให้กับรามเสสเพื่อสังหารชาวนูเบียนอีกด้วย
 
          เสา 6 ต้น ( Pillars ) ภายในห้องโถงประดับหัวเสาด้วยศิลปะแบบฮาเธอร์ ( Hathor Pillars ) คือใช้รูปใบหน้าของเทวีฮาเธอร์ใบหูวัวประดับหัวเสา เทวีฮาเธอร์ได้ชื่อว่าเป็นพระมารดาแห่งจักรวาล เป็นสัญลักษณ์แห่งความงามและความรัก และยังถือว่าเป็นสุริยเทวีที่สุริยเทพ รา ทรงเนรมิตขึ้นมาอันมีวัวเป็นสัญลักษณ์ ดังนั้นรูปลักษณ์ของเทวีจึงอยู่ในร่างมนุษย์ มีเขาวัวคู่พร้อมแผ่นสุริยวงกลมบนหัว ภาพบนฝาผนังของวิหารแห่งนี้ถูกประดับด้วยภาพสีบนร่องลึกที่แกะสลักไว้ ที่สำคัญ คือ ภาพที่พระนางเนฟเฟอร์ตารี่ทรงได้รับการประทานพรให้ได้สวมมงกุฎราชินีจากเทวีฮาเธอร์และเทวีไอซิสและคำร่ำลืออันยิ่งใหญ่ถึงราชินีองค์นี้ก็คือ พระนางทรงเป็นที่รักยิ่งของเทวีมัต ( Mut ) ผู้เป็นมเหสีของสุริยเทพผู้ยิ่งใหญ่ คือเทพอะมอนรานั่นเอง
Howard Carter ขุดค้นพบแหล่งโบราณวัตถุของอียิปต์อีกมากมาย